Saturday, 20 April 2024

3 หอกศักดิ์สิทธิ์ที่แทงพระคริสต์

18 Oct 2022
364

3 หอกศักดิ์สิทธิ์ที่แทงพระคริสต์

ตามตำนานชาวคริสต์ หอกลองกินุส เป็นหอกของทหารโรมันตาใกล้จะบอด ชื่อ กาลิอัส ลองกินุส (Gaius Cassius Longinus) ใช้แทงสีข้างของพระเยซู ขณะถูกตรึงกางเขน เพื่อพิสูจน์ว่าสิ้นพระชนม์หรือยัง แต่เลือดของพระเยซูที่กระเซ็นถูกตาของลองกินุส ทำให้เขากลับมองเห็นอีกครั้งและเกิดความศรัทธา จนเข้าเป็นนักบวช ก่อนจะได้รับยกย่องให้เป็นนักบุญ ส่วนหอกของเขาก็ถูกยกให้เป็นหอกศักดิ์สิทธิ์  (Holy Lance, Holy Spear) ตามประวัติศาสตร์มีหอก 3 เล่มที่ปรากฎตัวขึ้นและได้รับการยอมรับว่าเป็นหอกศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ในบทความนี้ iqnect จะพาคุณไปเจาะลึกกับเรื่องราวของหอกศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 เล่มกัน

1.หอกวาติกันลองกินุส

เชื่อกันว่าหอกเล่มนี้ถูกค้นพบที่โบสถ์แห่งภูเขาไซออน ในกรุงเยรูซาเล็มเมื่อปีคริสต์ศักราชห้าร้อยเจ็ดสิบ โดยนักบุญ st.antoninus of piacenza แห่งปี Asensa แต่ต่อมากองทัพของกษัตริย์ khosrow ที่สองแห่งเปอร์เซียบุกยึดครองกรุงเยรูสเล็มและทําให้หอกเกิดการแตกหัก หลังจากนั้นก็มีการส่งมอบส่วนหัวของหอกไปยังกรุงconstantinople และฝากไว้ที่โบสถ์ฮาเกียโซเฟียของตุรกี จนในปีหนึ่งพันสองร้อยสี่สิบสี่

3 หอกศักดิ์สิทธิ์ที่แทงพระคริสต์

กษัตริย์ baldwin ii of Constantinople ขายหอกให้แก่พระเจ้าหลุยส์ที่เก้าแห่งฝรั่งเศส และถูกนําไปเก็บรักษาไว้ที่โบสถ์ Saint Table ในกรุง Paris แต่ในช่วงที่เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสมีการเคลื่อนย้ายวัตถุโบราณต่างต่างไปที่หอสมุดแห่งชาติของฝรั่งเศส

3 หอกศักดิ์สิทธิ์ที่แทงพระคริสต์

ซึ่งทําให้วัตถุโบราณหลายชิ้นหายสาบสูญไปรวมทั้งหอบศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ด้วยแต่ยังมีอีกชิ้นส่วนของหอกถูกค้นพบเมื่อปีหกร้อยเจ็ดสิบที่โบสถ์ church of the holy sepulchre ในเยรูซาเล็มก่อนจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังกรุง Constantinople และนําไปฝากไว้กับโบสถ์หลายแห่งจนกระทั่งหอบไปตกอยู่ในมือของสุลตาลที่สองแห่งออโตมันและส่งมอบของเล่มนี้ให้สมเด็จพระสันตะปาปาอินโดเซนที่แปดนําไปไว้ที่เสาต้นหนึ่งที่มหาวิหารนักบุญเปโตรและนครรัฐวาติกัน โดยที่ไม่มีการยืนยันว่าหอกเล่มนี้เป็นหอบแทนพระคริสต์ของจริงหรือไม่

2.หอกเอจเมียอัตซิน

3 หอกศักดิ์สิทธิ์ที่แทงพระคริสต์

เชื่อกันว่าหอกศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ถูกนํามาที่ประเทศอาร์เมเนีย โดยนักบุญ jude the Apostle อัครสาวกของพระเยซู โดยหลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้วนักบุญจูดาสอัครสาวกได้นําหอกศักดิ์สิทธิ์เดินทางมายังดินแดนอาร์เมเนีย

3 หอกศักดิ์สิทธิ์ที่แทงพระคริสต์

เพื่อเผยแผ่พระศาสนาและนําหอบไปเก็บรักษาไว้ที่วิหาร geghard monastery ในช่วงปีหนึ่งพันแปดร้อยห้า หอกศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ที่ประเทศจอร์เจีย แต่ภายหลังนั้นส่งมอบกลับคืนมาไว้ที่พิพิธของมหาวิหาร etchmiadzin cathedral ของอาร์เมเนีย ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อกันว่านี่คืออาสนวิหารแห่งแรกที่สร้างขึ้นในพื้นที่อาร์เมเนียโบราณและเป็นโบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

3.หอกเวียนนาลองกินุส

หลังการตรึงกางเขนพระเยซูออกหอกลองกินูสหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์พักใหญ่ก่อนจะมีการบันทึกว่า หอกนั้นตกเป็นของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่หนึ่ง แห่งจักรวรรโรมัน ผู้วางรากฐานให้ศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาประจําชาติโรมันได้สําเร็จ ซึ่งพระองค์เชื่อว่าเป็นเพราะพลังแห่งหองลองกินูสพระองค์จึงตอกตะปูศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ตรึงกางเขนพระเยซูลงไปที่กลางใบหอกเพื่อเพิ่มอํานาจวิเศษ

3 หอกศักดิ์สิทธิ์ที่แทงพระคริสต์

ต่อมาหอกก็ตกเป็นของพระเจ้าชาว emperor Charlemagne มหาราช ผู้ก่อตั้งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และหอบลองกินูสเล่มนี้ก็ตกเป็นสมบัติล้ำค่าประจําจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ หอกศักดิ์สิทธิ์ตกทอดมายังสมัยของกษัตริย์เฮนรี่ที่สี่แห่งจักรวาลโรมัน พระองค์ได้ตอกแผ่นเงินสลักข้อความว่า ตะปูของพระเจ้าเอาไว้บนหอกเล่มนี้ตามความเชื่อว่า ตะปู ปลายหอก คือตะปูที่ใช้ตรึงกางเขนพระเยซูในสมัยของพระเจ้าชาร์ลส์ที่สี่มีการนําแผ่นทองคํามาหุ้มใบหอกลองกินูสไว้ หลังจากนั้นออกลองกินูสก็กลายเป็นสิ่งสําคัญที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์

3 หอกศักดิ์สิทธิ์ที่แทงพระคริสต์

ในปีหนึ่งพันสี่ร้อยยี่สิบสี่กษัตริย์ sigismund of Luxembourg ทรงรวบรวมวัตถุโบราณต่างๆ รวมถึงหอกศักสิทธิ์เคลื่อนย้ายไปยังบ้านเกิดของพระองค์ที่เมืองเนินแบกเยอรมนีพร้อมกับตลาดกฎหมายเก็บรักษาวัตถุโบราณหรือที่รู้จักกันในนาม reichskleinodien หรือสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิ ในปีหนึ่งพันเจ็ดร้อยเก้าสิบหกสงครามปฏิวัติฝรั่งเศสลุกลามไปถึงเมืองเนินแบกและมีข่าวว่า napolein Bonaparte ในฐานะผู้บัญชาการทหารปืนใหญ่ต้องการหอกศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้มาครอบครอง ทําให้สภาเมืองเนินแบกตัดสินใจเคลื่อนย้ายวัตถุโบราณไปเก็บรักษาไว้ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียเพื่อความปลอดภัย ต่อมาด้วยการเอ็กซเรย์ตรวจสอบอายุของหอก

3 หอกศักดิ์สิทธิ์ที่แทงพระคริสต์

ก็พบว่าตัวหอกนั้นมีอายุอยู่ในราวศตวรรษที่เจ็ด ส่วนเหล็กยาวที่เชื่อว่าเป็นตะปูตรึงพระเยซูนั้น พบว่ามีรูปทรงเหมือนตะปูที่ใช้ในช่วงคริสตวรรษที่หนึ่งการตรวจสอบส่วนของตะปูก็พบว่าเป็นโลหะชนิดเดียวกัน จึงไม่น่าจะเป็นตะปูเก่าแก่ หรือมีอายุในช่วงคริสตัลที่หนึ่ง แม้ผลตรวจสอบจะพบว่าหอกศักดิ์สิทธิ์แห่งเวียนนานั้นมีอายุอยู่ในช่วงยุคกลาง แต่ก็ยังมีหลายคนที่เชื่อว่า หอกเล่มนี้น่าจะเป็นหอกของจริง แต่เนื่องจากถูกดัดแปลงต่อเติมมาหลายยุคหลายสมัย จนแทบไม่เหลือตัวออกดั้งเดิม และหอกเล่มนี้ก็ยังได้ชื่อว่า เป็นหอกศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกด้วย